สภาพอากาศร้อนในปี 2568 ถือว่าร้อนมาก แม้เข้าสู่หน้าฝนในเดือนสิงหาคม บางพื้นที่ฝนตกหนัก จนน้ำท่วม บางพื้นที่ฝนน้อยกว่าปกติ จากภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทวีความรุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงประเทศไทย คาดกันว่าโลกของเรา จะมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอีก 2.7 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 หรือปี 2643
สภาพอากาศร้อนมาก และร้อนต่อเนื่อง “รศ.ดร. เสรี ศุภราทิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ คาดการณ์ว่า ตั้งแต่ต้นกันยายน ถึงปลายเดือนกันยายน จะกลับมาร้อนมากในช่วงบ่าย และช่วงนี้ฝนยังคงมีบริเวณภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ยกเว้นภาคใต้ จนถึงปลายเดือนสิงหาคม แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำท่วมใหญ่ และต้องติดตามสถานการณ์พายุจรต่อไป
ภายในปี 2025 ทุกประเทศต้องส่งรายงาน NDC2035 ตามที่พูดคุยกันในก่ารประชุม COP28 ที่ดูไบในปี 2023 แต่ปัจจุบันผ่านมาแล้วครึ่งปี มีเพียง 11 ประเทศ (จากภาคีสมาชิก UNFCCC 198 ประเทศ) ที่ส่งรายงานนี้ โดยความสำคัญของรายงาน NDC2035 อยู่ที่ความกล้าหาญในการดำเนินการเพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงปารีสปี 2015 โดยจำกัดการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ดูความคืบหน้าปัจจุบันจากรายงานแล้วน่ากังวลยิ่งนัก ไม่มีประเทศใดบรรลุเป้าหมาย ประเทศไทยยังถูกมองว่าไม่มีมาตรการเพียงพออย่างมีนัยยะสำคัญ
การคาดการณ์อุณหภูมิโลกปลายศตวรรษที่ 21 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตลอดสามปีที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างวิทยาศาสตร์กับการดำเนินการ ความล้มเหลวในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทวีความรุนแรงขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก

เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ทั้งคลื่นความร้อน น้ำท่วม และไฟป่า ทำลายสถิติ ความเร่งด่วนในการเพิ่มความพยายามเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหลีกเลี่ยงการลดเป้าหมายโดยการพึ่งพาการชดเชยคาร์บอน (offsets) และการดูดซับคาร์บอน (sinks) ไม่เคยมีสูงเท่านี้มาก่อน
การคาดการณ์ปัจจุบัน หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 2.7 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 ซึ่งไม่สอดคล้องกับระดับการดำเนินการที่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในระยะยาวจะสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2030 การเกินเป้าหมาย (overshoot) ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
หากเกิดขึ้นเร็วเท่าใด ก็ยากที่จะกลับลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และอาจนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ โดยเฉพาะผลกระทบระยะยาวต่อทั้งระบบนิเวศ และสังคมมนุษย์ หากทุกรัฐบาลไม่ปรับเปลี่ยนเส้นทางของนโยบายปัจจุบันภายในปี 2030 โลกจะมีอุณหภูมิสูงเกิน 1.5°C เป็นเวลาหลายทศวรรษไม่ว่าหลังจากนั้นจะทำอะไรก็ “สายไปแล้ว”.