ตลาดโลกปั่นป่วนหลัง “ทรัมป์” ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 100% ตอบโต้กรณีจีนคุมเข้มส่งออกแร่หายาก ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินโลก หุ้นสหรัฐฯ ดิ่งกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันเดียว นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงโยกเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย หนุนราคาทองคำทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบปี และมีแนวโน้มพุ่งต่อถึง 65,000 บาทปลายปีนี้
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมารุนแรงอีกครั้ง หลังจีนออกมาตรการเข้มงวดควบคุมการส่งออก “แร่หายาก” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น รถยนต์ไฟฟ้า เรดาร์ และเครื่องบิน โดยจีนถือครองอุปทานถึง 70% ของตลาดโลก
การจำกัดการส่งออกดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการทหารของสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลทรัมป์ตอบโต้ทันที ด้วยการขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงถึง 100% ซึ่งนักลงทุนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่สองชาติกำลังจะพบปะกันในการประชุม APEC ปลายเดือนนี้
ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนหนัก นักลงทุนหนีถือครองทอง
เพียงวันเดียว มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ หายไปกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ร่วงแรงสุดในรอบครึ่งปี และส่งผลกระทบลูกโซ่ไปทั่วโลก นักลงทุนเทขายหุ้น หันมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตรสหรัฐฯ โดยราคาทองคำโลกทะยานขึ้นทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ในประเทศราคาทองรูปพรรณขายออกแตะ 62,100 บาทต่อบาททองคำ และมีแนวโน้มทดสอบระดับ 65,000 บาทภายในปลายปีนี้ หากความตึงเครียดยังไม่คลี่คลาย
เศรษฐกิจไทยกระทบระลอกสอง แต่บางกลุ่มได้ประโยชน์
ไทยอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม บางอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์จากการที่สหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าทดแทนจากประเทศอื่นแทนจีน
ภาครัฐควรเตรียมมาตรการ “ผ่อนคลายทางการเงิน” เพิ่มเติม เพื่อให้เงินบาทไม่แข็งเกินไป ช่วยพยุงภาคส่งออกและการท่องเที่ยว พร้อมทั้งกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ
จับตาทิศทางทองคำ–ค่าเงินบาท–นโยบายดอกเบี้ย
นักวิเคราะห์ประเมินว่า หากสถานการณ์สงครามการค้าทวีความรุนแรงต่อเนื่อง จะยิ่งหนุนให้ราคาทองคำพุ่งต่อเนื่อง และอาจแตะระดับ 65,000 บาทต่อบาททองคำในไตรมาส 4/2568 ขณะเดียวกันการลดดอกเบี้ยของไทยอาจเป็นปัจจัยหนุนราคาทองในประเทศให้ขยับเพิ่มขึ้นอีก