เหตุการณ์ยิงปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา บริเวณชายแดนในหลายพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. เข้าสู่วันที่ 3 เริ่มต้นจากบริเวณปราสาทตาเมือนธมชายแดน จ.สุรินทร์ ก่อนขยายพื้นที่ออกไปตามแนวชายแดนต่าง ๆ สร้างความสนใจของสาธารณชน และได้หันมาจับตามอง “ขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชา” มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

จากสงครามกลางเมืองสู่การฟื้นฟูกองทัพ
ยุคหลังเขมรแดงล่มสลายในปี 1979 กองทัพกัมพูชา (Royal Cambodian Armed Forces: RCAF) อยู่ในสภาพกระจัดกระจาย ใช้อาวุธที่ล้าสมัยจากโซเวียต เวียดนาม และจีน เช่น ปืนกล PKM, ปืนไรเฟิล AK-47 และรถถัง T-55 ที่ได้รับจากเวียดนาม
กองทัพถูกจัดระเบียบใหม่ในยุค 1990 ภายใต้การสนับสนุนจากเวียดนามและการควบรวมกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงภายในประเทศ

ยุคสมัยใหม่: อาวุธจากจีนคือหัวใจหลัก
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กัมพูชาได้รับการสนับสนุนทางการทหารจากจีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุทธภัณฑ์ที่ทันสมัย อาทิ
- รถถังหลัก Type 96A (จีน) – ใช้งานหลักในกองทัพบก
- รถเกราะล้อยาง ZBL-09 – เสริมกำลังปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว
- ระบบปืนใหญ่ 122 มม. และ 155 มม. จากจีน
- จรวดนำวิถีแบบพกพา HJ-8 (ต่อต้านรถถัง)
กัมพูชายังมีเครื่องบินขับไล่ลำเล็ก MiG-21 บางลำหลงเหลือจากอดีต และมีการรายงานว่าอยู่ระหว่างเจรจาซื้อโดรนและระบบเรดาร์จากจีนเพิ่มเติม

ศักยภาพการรบกัมพูชา ระดับภูมิภาค
แม้ขนาดกองทัพของกัมพูชาจะเล็กกว่าไทยมาก โดยมีกำลังพลประจำการราว 125,000 นาย แต่การพัฒนาอาวุธในช่วงหลังแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับขีดความสามารถทางการทหาร โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ “ปกป้องอธิปไตย” ตามแนวนโยบายของสมเด็จฮุน เซน และฮุน มาเนต
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า กำลังของกัมพูชายังไม่เทียบเท่าไทยในเชิงเทคโนโลยีและการฝึกฝน โดยเฉพาะในด้านอากาศยานและเรือรบ

ปัจจัยภายนอกมีผลต่อสมดุลอาวุธ
การพึ่งพาอาวุธจากจีน ทำให้กัมพูชาสามารถยกระดับยุทโธปกรณ์อย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนและการพึ่งพิงในระยะยาว หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกับไทยล่าสุด เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่สะท้อนว่า “ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาค” ยังต้องการการเจรจาและวางระบบบริหารความขัดแย้งอย่างระมัดระวัง.